10 ข้อที่คุณห้ามลืม...ที่จะไปใช้กับชีวิตคุณ
เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับตัวคุณเอง
จาก ปีเตอร์ ลินซ์ เทพแห่งการลงทุน
ปีเตอร์ ลินซ์
ตำนานผู้จัดการกองทุนที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างเหนือชั้น
วันนี้เรามาดูกันครับว่าคำแนะนำ 10 ข้อของปีเตอร์ ลินซ์
ที่นักลงทุนควรรู้มีอะไรบ้าง
1. There's no shame in losing money on
a stock. Everybody does it. What is shameful is to hold on to a stock, or
worse, to buy more of it when the fundamentals are deteriorating.
(ไม่มีเรื่องน่าอายสำหรับการขาดทุนในตลาดหุ้น
ทุกๆคนก็เคยขาดทุน สิ่งที่น่าอายจริงๆคือการถือหุ้นที่พื้นฐานกำลังแย่ลง)
2. Average investors can become
experts in their own field and can pick winning stocks as effectively as Wall
Street professionals by doing just a little research.
(นักลงทุนทั่วไปก็สามารถกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้
เพียงแต่เขาลงทุนในสิ่งที่เขามีความเกี่ยวข้องและรู้จักมันดีพอไม่แพ้นักวิเคราะห์ชื่อดังในวอล์สตรีท
โดยการทำการบ้านเล็กๆน้อยๆ)
นักลงทุนทั่วไปชอบคิดอยู่เสมอว่าตัวเขาเองไม่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นได้
และต้องหวังพึ่งคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจากวอล์สตรีทมาโดยตลอด ผมคิดว่าพวกเขาคิดผิด
พวกเขาสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ในสายงานที่ตัวเองรู้จักดีพอ ตัวอย่างเช่น
พนักงานที่ทำงานอยู่ในโรงกลั่นน้ำมัน ย่อมรู้ดีว่าบริษัทกำลังทำอะไร
ราคาน้ำมันขึ้นหรือว่าลง เขาสามารถลงทุนหุ้นโรงกลั่นได้อย่างชาญฉลาด
แทนที่จะไปซื้อหุ้นผลิตยา หรือเทคโนโลยีชีวภาพ
3. Never invest in any idea you can't
illustrate with a crayon.
(อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่สามารถอธิบายเป็นภาพวาดง่ายๆออกมาได้)
จงลงทุนในสิ่งที่คุณรู้
และสามารถอธิบายให้เด็กอายุ 10 ขวบฟังแล้วเข้าใจได้
4. Know what you own, and know why you
own it.
(รู้ว่าคุณกำลังจะซื้ออะไร แล้วซื้อมันไปทำไม)
5. In this business, if you're good,
you're right six times out of ten. You're never going to be right nine times
out of ten.
(ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่เก่งแค่ไหน การเลือกหุ้น
10 ตัว จะมี 6 ตัวที่ถูก ไม่มีทางที่จะถูก 9 ตัว จาก 10 ตัวที่คุณเลือก)
ในตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอน
ต่อให้คุณเป็นนักลงทุนที่เก่งแค่ไหนก็ต้องมีพลาด การเลือกหุ้น 10 ตัว
คุณอาจจะถูกแค่ 3 ตัว เฉยๆสัก 4 ตัว และเป็นการลงทุนที่แย่ๆ 3 ตัว
แต่รู้หรือไม่ว่าแค่ 3 ตัวที่คุณถูก คุณก็จะกลายเป็นเศรษฐีได้ไม่ยากเย็น
6. The person that turns over the most
rocks wins the game. And that's always been my philosophy.
(ปรัชาการลงทุนของผม คือ พลิกหินให้มากที่สุด!)
การลงทุนในความคิดของผม
ก็ไม่ต่างอะไรจากการค้นหาตัวหนอนใต้ก้อนหิน การพลิกก้อนหินเป็นงานของผม
และชีวิตนี้ผมก็พลิกหินมาแล้วนับหมื่นๆก้อน มีทั้งเจอหนอน เจอเศษแก้ว
เจอน้ำเหม็นเน่าใต้ก้อนหิน แต่ความพยายามที่จะค้นหามัน
คือปรัชญาการลงทุนของผมที่ทำให้ผมชนะและเหนือกว่าวอลสตรีทได้อย่างยาวนาน
7. Owning stocks is like having
children -- don't get involved with more than you can handle.
(การมีหุ้นก็เหมือนกับการมีลูก
อย่ามีมันมากจนเกินไป คุณะจัดการมันไม่ได้)
การมีหุ้นหลายตัวในพอร์ต
จะทำให้คุณต้องเจอกับปัญหาที่ยุ่งยากในการติดตามมัน
ไม่เหมือนกับผู้จัดการกองทุนเช่นผมที่จะมีหุ้น 100 ตัว หรือ 500 ตัว
เพื่อให้เพียงพอกับสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นมีอยู่ ผมมีทีมงาน มีการจัดตั้งบริษัท
มีฝ่ายวิเคราะห์ ดังนั้นการที่ผมจะตามหุ้น 100 - 500 ตัวได้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก
ในขณะที่นักลงทุนธรรมดาเช่นคุณ มีหุ้น 3-5 ตัวชั้นยอดในพอร์ตก็เพียงพอแล้ว
อย่าลืมว่ามีหุ้นก็ไม่ต่างอะไรไปกับการมีลูก ยิ่งคุณมีลูกมากขึ้น
ความรับผิดชอบก็ต้องมากขึ้น เรื่องน่าปวดหัวก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
8. If you hope to have more money
tomorrow than you have today, you've got to put a chunk of your assets into
stocks. Sooner or later, a portfolio of stocks or stock mutual funds will turn
out to be a lot more valuable than a portfolio of bonds or CDs or money-market
funds.
(ถ้าคุณคิดอยากจะมั่งคั่ง
คุณควรจะออมไว้ในหุ้นหรือกองทุนรวมหุ้น
คุณไม่ควรเอาเงินส่วนใหญ่ไปออมกับตราสารหนี้)
นักลงทุนที่อยากจะมีความมั่งคั่ง
ควรจะออมเงินทั้งหมดไว้ในหุ้น เพราะโดยแนวโน้มแล้วหุ้นจะเป็นขาขึ้น
และผมเชื่อว่าเงินก้อนเล็กที่ลงทุนเร็ว จะเติบโตได้เร็วกกว่าเงินก้อนใหญ่ที่ออมช้า
เด็กจะมีสิ่งหนึ่งที่ผู้ใหญ่ไม่มี คือ เวลาที่ใช้ในการลงทุน
ถึงแม้ว่าเด็กจะมีประสบการณ์น้อยกว่าก็ตาม แต่ยิ่งลงทุนเร็วได้เท่าไร
เราจะยิ่งได้เปรียบมากเท่านั้น
9. During the Gold Rush, most would-be
miners lost money, but people who sold them picks, shovels, tents and
blue-jeans (Levi Strauss) made a nice profit.
(ในช่วงยุคตื่นทอง
มีนักแสวงโชคจำนวนมากต่างมุ่งไปขุดทองเพราะมีความหวังว่าพวกเขาจะร่ำรวยในไม่ช้า
แต่น่าเสียดาย คือ นักขุดทองส่วนใหญ่ต่างขาดทุน
แต่มีบุคคลหนึ่งที่ทำสิ่งที่แตกต่าง แล้วเขาก็ร่ำรวยจากการทำสิ่งที่แตกต่างนั้น)
ช่วงยุคตื่นทองของอเมริกา
มีนักเสี่ยงโชคมากมายต่างมุ่งหน้ามาเพื่อขุดทอง
คนส่วนใหญ่ต่างมาที่นี้เพื่อมาขุดทอง ในขณะที่มีคนๆหนึ่งเขาไม่ได้มาขุดทอง
เขามาเพื่อทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น ลีวาย สเตราส์ (Levi Strauss) ชาวเยอรมัน
ผู้มีสมองอันปราดเปรื่อง เขากางเต้นท์เพื่อที่จะทำหน้าร้านขายของชำ เครื่องดื่ม
อาหารแห้ง ให้กับคนงานในเหมือง เขาสังเกตเห็นว่ากางเกงของคนงานในเหมืองต่างก็ขาด
เขาจึงนำผ้าเพื่อมาตัดกางเกงขาย และมันก็กลายมาเป็นแฟชั่นกางเกงยีนส์จนถึงปัจจุบัน
เขารวยจากการทำสิ่งที่แตกต่าง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ต่างมุ่งหน้าไปขุดทอง
10. If you're lucky enough to have
been rewarded in life to the degree that I have, there comes a point at which
you have to decide whether to become a slave to your net worth by devoting the
rest of your life to increasing it or to let what you've accumulated begin to
serve you.
(ถ้าคุณโชคดีเหมือนผมที่กลายเป็นตำนานนักลงทุน
เมื่อถึงจุดนั้นคุณจำเป็นต้องตัดสินใจแล้วว่าคุณจะยังเป็นทาสความมั่งคั่งแล้วใช้ทั้งชีวิตเพื่อหาเงินต่อไป
หรือจะเอาความมั่งคั่งที่คุณได้มา มารับใช้คุณในบั้นปลายของชีวิต)
ในวันที่ผมลาออกจากเมจเจลแลน
ด้วยชื่อเสียงของผมทำให้ผมมีกินไปตลอดชีวิต
เพราะมีกองทุนหลายสำนักติดต่อให้ผมไปบริหารด้วยเงินว่าจ้างสูงถึง 15 ล้านเหรียญ
และเขาก็ไม่สนใจด้วยว่าผมจะแพ้หรือว่าชนะดัชนี ถ้าผมยังคงทำงาน
ผมยังต้องทำงานในวันหยุด อ่านรายงานประจำปี เข้าประชุมเป็นว่าเล่น
มันทำให้ผมรวยเงินทองมากขึ้น แต่กลับต้องจนเวลาอยู่ต่อไป
มันทำให้ผมนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับชาวนาผู้ละโมบโลภมาก
.......... นานมาแล้วมีชาวนาคนหนึ่งขอพรยักษ์วิเศษว่า เขาอยากรวยไปตลอดชีวิต
ยักษ์ตัวนั้นก็บอกเขาว่า ถ้าชาวนาคนนั้นวิ่งไปในพื้นที่แห่งใดก็ตาม
พื้นที่ตรงนั้นจะเป็นของเขาทันที่ แต่มีเวลาจำกัดแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น
ชาวนาคนนั้นก็เริ่มออกวิ่ง และเขาก็วิ่งมาได้ 2 ชั่วโมง ด้วยพื้นที่ที่เขาวิ่งได้
มันจะทำให้เขามีกินไปตลอดชีวิต ด้วยความเหนื่อยและเหงื่อที่ถ่วมตัว
ทำให้เขาคิดว่าเขาวิ่งมานานเพื่ออะไรกัน เขาควรที่จะหยุดได้แล้ว!
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็คิดอีกว่า นี้คือโอกาสทอง กอบโกยให้ได้มากที่สุดเข้าไว้
เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที แล้วเขาก็ยังวิ่งต่อไปจนเหนื่อยมาก
สุดท้ายเขาก็ขาดใจตาย
นิทานเรื่องนี้มันทำให้ผมได้รู้ว่า
เมื่อถึงจุดๆหนึ่งแล้ว มนุษย์เราควรจะเลือกว่า
คุณจะยอมเป็นทาสความมั่งคั่งและอุทิศทั้งชีวิตเพื่อค้นหาความมั่งคั่งต่อไป
หรือจะเลือกเอาความมั่งคั่งมารับใช้คุณ .....
เขียนโดย SiTh LoRd PaCk
Credit: Stock2morrow
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น